Koisenu Futari – สองเราผู้ไร้รัก

แปลจากญี่ปุ่นเป็นไทยโดย Haru

ละครที่ไม่เพียงสร้างความเข้าใจเรื่องเพศวิถีแบบ Aromantic Asexual แต่ยังทำให้เห็นถึงการพยายามสร้างความสุขในแบบของตนเอง ที่ทั้งอบอุ่น และเรียกรอยยิ้ม

เรื่องย่อ

โคดามะ ซากุโกะ (คิชิอิ ยูกิโนะ) หญิงสาวผู้ไม่เคยรู้สึกหลงรักใคร จนรู้สึกว่าตัวเองประหลาด ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอได้เข้าไปอ่านบล็อกบันทึกชีวิตประจำวันของ ทาคาฮาชิ ซาโตรุ (ทาคาฮาชิ อิสเซย์) ทำให้ได้รู้ว่ามีคนที่คล้ายกับเธอ ซึ่งเรียกว่าผู้มีเพศวิถีแบบ Aromantic Asexual
ซากุโกะ ที่ไม่อยากอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต จึงตัดสินใจขอให้ทาคาฮาชิมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเธอ “โดยไม่มีเรื่องความรักมาเกี่ยวข้อง”
รูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่มีความรักเชิงโรแมนติกระหว่างทั้งสองคนจะเป็นจริงได้หรือไม่

นักแสดง

โคดามะ ซากุโกะ
( คิชิอิ ยูกิโนะ )

ทาคาฮาชิ ซาโตรุ
( ทาคาฮาชิ อิสเซย์ )

มัตสึโอกะ คาสุ
( ฮามะ โชโงะ )

บทโทรทัศน์ – โยชิดะ เอริกะ ( Cherry Magic , Boy over Flower (next season) ฯลฯ)

ออกอากาศ ทุกวันจันทร์ 22.45 น. ช่อง NHK เริ่ม 10 มกราคม 2022

ตัวอย่างละคร

https://www.dailymotion.com/video/x89o5oi

ดูออนไลน์ ok.ru

ตอนที่ 1 แก้ไข
ตอนที่ 2 แก้ไข
ตอนที่ 3 แก้ไข
ตอนที่ 4 แก้ไข
ตอนที่ 5 แก้ไข
ตอนที่ 6 แก้ไข
ตอนที่ 7 แก้ไข
ตอนที่ 8 (จบ)

ดาวน์โหลด G-Drive

ตอนที่ 1 แก้ไข
ตอนที่ 2 แก้ไข
ตอนที่ 3 แก้ไข
ตอนที่ 4 แก้ไข
ตอนที่ 5 แก้ไข
ตอนที่ 6 แก้ไข
ตอนที่ 7 แก้ไข
ตอนที่ 8 (จบ)

คำอธิบายการแปลเพิ่มเติม

2 เม.ย. 65 – แก้ไขคุณยายเป็นคุณย่าครบทุกตอนแล้ว

  1. ตัวเอกทั้งสองคนมีเพศวิถีแบบ Aromantic และ Asexual ซึ่ง ARomantic คือผู้ที่ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ในเชิงโรแมนติก และ Asexual คือผู้ที่ไม่ฝักใจเรื่องทางเพศ ซึ่งตัวละครเอกมีลักษณะทั้งสองอย่างไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ความรักในละครเรื่องนี้หมายถึงความรักแบบ 恋愛 Ren-ai หรือความรักเชิงโรแมนติก
  2. ในตอนที่ 6
    สัญลักษณ์โซบะ…

View original post 42 more words

Billie Eilish – Your Power เนื้อเพลงแปลไทย

Traslated by Amakusakizu
(ฝึกแปลค่ะ มีตรงไหนแปลผิดบอกได้เลยนะคะ เราจะขอบคุณมากๆ♥)

หลังจากฟังเพลงนี้จบไปประมาณ10รอบ เราก็รู้สึกอยากแปลมากๆเลย ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดี แต่เรารู็สึกอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเพลง อยากเข้าใจมันมากขึ้นแม้ซักนิด เพราะตอนที่ฟังวนไปมา เรารู้สึกถึงemotionalของเพลงที่มันเยอะมากๆ จนพอมาเห็นเนื้อเพลงทั้งหมดแล้วก็มีความรู้สึกร่วมกับมันมากๆเช่นกันจนอยากจะถ่ายทอดมันออกมา


Try not to abuse your power
พยายามจะไม่เหยียบย่ำอำนาจของคุณนะ
I know we didn’t choose to change
ฉันรู้ ว่าเราไม่ได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง
You might not wanna lose your power
บางที คุณก็ไม่ได้อยากจะเสียอำนาจของคุณไป
But having it’s so strange
แต่การมีมันไว้ในมือก็ถือว่าแปลกมาก

[Verse 1]
She said you were a hero
You played the part
เธอบอกว่าคุณเคยเป็นฮีโร่ของเธอ ในพาร์ทที่คุณเล่น
But you ruined her in a year
แต่คุณก็ทำลายเธอภายใน1ปี
Don’t act like it was hard
อย่าทำเหมือนกับว่ามันยากนักเลย
And you swear you didn’t know (Didn’t know)
แล้วคุณก็สาบานว่า คุณไม่รู้จริงๆ
No wonder why you didn’t ask
ไม่แปลกใจเลย ที่คุณไม่ถาม
She was sleeping in your clothes (In your clothes)
เธอนอนหลับไปในชุดของคุณ
But now she’s got to get to class
แต่ตอนนี้เธอจะต้องไปเข้าเรียนในคลาสของคุณแล้ว
How dare you?
คุณกล้าดียังไง

[Pre-Chorus]
And how could you?
คุณทำมันลงได้ยังไง
Will you only feel bad when they find out?
คุณเพิ่งมารู้สึกแย่ตอนที่พวกเขารู้ความจริงเหรอ
If you could take it all back
ถ้าคุณย้อนทุกอย่างกลับไปได้
Would you?
คุณจะยังทำมั้ย

[Chorus]
Try not to abuse your power
พยายามจะไม่เหยีบย่ำอำนาจของคุณนะ
I know we didn’t choose to change
ฉันรู้ ว่าเราไม่ได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง
You might not wanna lose your power
บางที คุณก็ไม่ได้อยากจะเสียอำนาจของคุณไป
But having it’s so strange
แต่การมีมันไว้ในมือก็ถือว่าแปลกมาก

[Verse 2]
I thought that I was special
ฉันนึกว่าฉันเป็นคนพิเศษ
You made me feel
Like it was my fault you were the devil
คุณทำให้ฉันรู้สึกว่ามันคือความผิดของฉันที่คุณคือปีศาจร้าย
Lost your appeal
ไม่มีใครสนใจหรอกนะ
Does it keep you in control? (In control)
นี่ทำให้คุณยังควบคุมตัวเองอยู่ได้มั้ย
For you to keep her in a cage?
เพื่อที่คุณจะยังได้ขังเธอไว้ในกรง
And you swear you didn’t know (Didn’t know)
และคุณก็สาบานว่าคุณไม่รู้
You said you thought she was your age
คุณบอกว่าคุณนึกว่าเธออายุพอๆกับคุณ
How dare you?
คุณกล้าดียังไง

[Pre-Chorus]
And how could you?
คุณทำมันลงได้ยังไง
Will you only feel bad if it turns out
คุณจะรู้สึกแย่เฉพาะตอนที่เรื่องมันแดงออกมาเหรอ
That they kill your contract?
พวกเขายกเลิกสัญญากับคุณรึยังล่ะ
Would you?
คุณจะยกเลิกมั้ย

[Chorus]
Try not to abuse your power
พยายามจะไม่เหยีบย่ำอำนาจของคุณนะ
I know we didn’t choose to change
ฉันรู้ ว่าเราไม่ได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง
You might not wanna lose your power
บางที คุณก็ไม่ได้อยากจะเสียอำนาจของคุณไป
But power isn’t pain
แต่อำนาจของคุณ มันก็ไม่ใช่ความเจ็บปวด

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดู Wolf (2013)

**ยังอยู่กับการตามรอยหนังคุณมาร์วานค่ะ**

o.k….I’m not o.k. now. #Wolf2013 ; _________ ;

จบแว้ว… ; w ; คือ…คนเนเธอร์แลนด์ที่ดูออกแขกๆทั้งหลายเค้ามีปัญหาครอบครัวกันเยอะรึเปล่าคะ คือนี่เป็นเรื่องที่สองของพี่มาร์วานที่ดูแล้วพูดเรื่องปัญหาเดียวกัน คือพ่อกับลูกชายจะมีปัญหาที่ไม่ลงรอยกันในเรื่องของพฤติกรรมและความคิด แล้วมันเกิดขึ้นในครอบครัวที่ดูมีพื้นพอๆกัน

ดูเหมือนกับมันเป็นโมเดลพื้นฐานที่มีอยู่เยอะในประเทศเค้า เลยมีหนังที่หยิบมาพูดบ่อยๆ นี่เดาว่าจริงๆคนหาเลี้ยงครอบครัวตอนแรกคงเป็นพี่ชายที่ป่วยอ่ะ พอเค้าป่วยคนหาเลี้ยงถัดมาเลยมาเป็นคนรอง แต่คนรองนี่เหมือนยังไม่ได้มีรายได้ขนาดนั้น เคยแต่หาเลี้ยงตัวเองความรับผิดชอบอะไรมันคงยังไม่มา

ปมอีกอันที่สำคัญคือพี่ชาย การที่ไม่มีฉากที่คนในครอบครัวมาเยี่ยมเค้าเลยแต่เรากลับรู้ว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมา แต่เขาจะมาคนละเวลากับMajid เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างพ่อลูก คือขนาดไม่เจอกันซักฉากยังรู้สึกได้ว่าพ่อรักพี่ชายมากกว่า แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับความรักของMajidที่มีต่อพี่เลย

ถ้าเล่ารวมๆมันคือชีวิตของคนๆนึงที่ไม่มีอะไรเลยเพราะการปฏิเสธของพ่อ ไม่มีความรู้ ไม่มีความอยาก ไม่มีเป้าหมาย และดันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกคนก็ยอมรับและเห็นว่าการไม่มีเรื่องพวกนี้คือปกติ คุณไม่เห็นต้องรีบร้อนทำงานทำการให้มันยาก ในเมื่อตกกลางคืนเราก็ออกไปปล้นของมาขายได้เงินในตอนเช้า

นี่ไม่ใช่หนังที่ตัวเอกจะฮึดสู้ขึ้นมาเพราะการอยากถีบตัวเองให้ดีขึ้นหรือพัฒนาขึ้น แต่มันคือหนังของคนที่ไม่มีอะไรจะไปสู้กับเค้าและตัวเองก็ทำได้แต่เรื่องดาร์คๆแต่อยากได้การยอมรับจากคนที่เกลียดความดาร์คนั้นๆ น้องชายคนเล็กอาจจะเป็นคนเดียวที่พอจะเห็นว่าพี่คนนี้ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เขาเลยนำพาความหวังมาให้พี่ชายในตอนท้ายที่สุด มันไม่ได้จบแบบมีความหวังเต็มเปี่ยมและชุ่มชื่นหัวใจ แต่มันจบตอนที่เราเห็นแสงแห่งความเป็นไปได้เล็กๆ แล้วMajidก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจ

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดูThe Angel(2018)

วันนี้เพิ่งดูเรื่องThe Angel ในNetflix จบ คือตอนแรกก็กะตามรอยหนังคุณมาร์วานเฉยๆอ่ะนะ แต่พอดูจบแล้วแบบ…อึน..โหวง… คือเบสออนทรูสตอร์รี่แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะอีโมชันนอลขนาดนี้ ส่วนตัวไม่ค่อยดูหนังสงครามเท่าไหร่ แต่อันนี้บอกเลยว่าเลิฟมากๆ

*ขอเล่าแบบสปอล์ยเลยนะคะ*

ช่วงแรกเนี่ยเราคิดว่ามันคงเป็นหนังฉ้อฉลกันในวงในและก่อฉนวนสงคราม แต่พอดูไปซักพักมันไม่เชิงว่าจะเป็นอย่างนั้น ตัวเอกของเราอาชราฟ มาร์วานเขาเป็นนักการฑูตของอิยิปต์ (มั้งนะ) ที่ตอนแรกเขาเป็นคนตรงมาก มีไฟจะทำให้ประเทศดีขึ้น รักสันติวิธีและพยายามปรามคนที่อยากให้มีสงคราม แต่ด้วยความอายุน้อยกว่าคนอื่นมาก เลยเหมือนไม่มีใครฟังเสียงไม่เคารพแถมยังดูถูกเพราะเป็นแค่ลูกเขยของประธานาธิบดีคนเก่า/พ่อตาก็เกลียดด้วย กลายเป็นว่าหลังจากนั้นเค้ารู้แล้วว่าการสู้กันตรงๆมันไม่ช่วยอะไร แถมไม่ได้ผล เลยเลือกที่จะขายข้อมูลภายในให้อิสราเอล ช่วงแรกเนี่ยเราคิดว่ามันคงเป็นหนังฉ้อฉลกันในวงในและก่อฉนวนสงคราม แต่พอดูไปซักพักมันไม่เชิงว่าจะเป็นอย่างนั้น ตัวเอกของเราอาชราฟ มาร์วานเขาเป็นนักการฑูตของอิยิปต์ (มั้งนะ) ที่ตอนแรกเขาเป็นคนตรงมาก มีไฟจะทำให้ประเทศดีขึ้น รักสันติวิธีและพยายามปรามคนที่อยากให้มีสงคราม

เราดูกันมาซักพัก เราจะคิดว่าผชคนนี่เป็นคนขายชาติคนนึง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น แต่พอตอนสุดท้ายที่เรื่องจะขมวดปมทั้งหมดและคลายมันออก แผนทั่งหมดที่สร้างมา มันเกิดจากการอยากให้คนตระหนักว่าเราควรยุติสงคราม ข่าวลวง การขู่ทั้งหมด มันมีเพื่อจุดประสงค์นี้ สุดท้ายมีการสูญเสียในจำนวนหนึ่ง

อาจจะพูดได้ว่าเล็กน้อยถ้าเทียบกับสงครามใหญ่จริงๆ แต่มันก็คือคนจำนวน17000คนที่ตายลงไป สุดท้ายประธานาธิบดีอียิปต์ได้ประกาศวางมือจากสงครามและได้รางวัลสันติภาพ ซึ่งจริงๆอาชราฟเป็นคนบอกแผนทั้งหมด ว่าเราจะปล่อยข่าวตอนไหน แล้วยังดป็นคนไปขายข่าวเอง ยอมโดนเป็นเป้าเอง

ถึงจะจบด้วยดีอย่างชาญฉลาด แต่สงครามก็คือสงคราม เขามาไกลเกินกว่าที่จะมีอะไรเหมือนเดิม ครอบครัวที่เขาเฝ้าปกป้อง สุดท้ายก็ต้องหันหลังให้กับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วในฉากที่กำลังเปิดจดหมายภรรยานี้ เราเห็นว่าเขากินน้ำผึ้ง เราไม่รู้ว่ามันเป็นของที่คนในชาตินี้กินกันปกติรึเปล่า

แต่ที่เรารู้มาคือคนที่มีภาวะเครียดหรือเป็นโรคอะไรซักอย่างจนไม่สามารถกินได้ เมื่อกินจะอ๊วกทุกอย่างออกมาหมด เขาจะกินน้ำผึ้งทีละน้อย ฉากนี้คือทำเราจุกมาก เพราะขนาดคนวางแผนอย่างเขาก็มีความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนได้เช่นกัน ยิ่งเน้นย้ำว่าสงคราม ไม่มีคนที่ชนะจริงๆหรอก

ก็คือเมื่อวานก่อนนอน นอนคิดเรื่องคุณอาชราฟแล้วก็..ร้องไห้ยกใหญ่ ; v ; คือคิดว่าตัวเขาเองคงไม่อะไรขนาดนั้นเพราะดูเขาก็ก็เตรียมใจมาในระดับนึง แต่มองจากสายตาคนนอกอย่างเรามันเห็นทุกอย่างที่เขาทุ่มเท แล้วถ้ายิ่งเขาไม่ได้ทำอะไรเลวมากกว่าในหนัง มันแอบเศร้าใจในธรรมชาติที่มันจะเป็นไปมาก มันไม่ผิดที่ภรรยาเขาจะไม่สามารถร่วมทางไปกับเขาไหวเพราะเธอก็อดทนมาตลอด มันปกติที่เขาอาจจะถูกลอบฆ่าในท้ายที่สุดเพราะสิ่งที่เขาทำ มันเลยยิ่งน่าเศร้าเพราะมันต้องเป็นแบบนั้น เพียงเพราะเขาเสียสละทำเพื่อคนอื่น แอบนึกไปถึงเคสของประเทศเราอย่างสืบ นาคาเสถียร มันไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่มันมีความคล้ายคลึงในเรื่องการเสียสละให้ส่วนรวมและอุดมการณ์ ก็คือเมื่อวานก่อนนอน นอนคิดเรื่องคุณอาชราฟแล้วก็..ร้องไห้ยกใหญ่ ; v ; คือคิดว่าตัวเขาเองคงไม่อะไรขนาดนั้นเพราะดูเขาก็ก็เตรียมใจมาในระดับนึง แต่มองจากสายตาคนนอกอย่างเรามันเห็นทุกอย่างที่เขาทุ่มเท แล้วถ้ายิ่งเขาไม่ได้ทำอะไรเลวมากกว่าในหนัง มันแอบเศร้าใจในธรรมชาติที่มันจะเป็นไปมาก มันไม่ผิดที่ภรรยาเขาจะไม่สามารถร่วมทางไปกับเขาไหวเพราะเธอก็อดทนมาตลอด มันปกติที่เขาอาจจะถูกลอบฆ่าในท้ายที่สุดเพราะสิ่งที่เขาทำ มันเลยยิ่งน่าเศร้าเพราะมันต้องเป็นแบบนั้น เพียงเพราะเขาเสียสละทำเพื่อคนอื่น

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดูShoplifters (2018)

*ไม่สปอล์ย*

เรื่องนี้กว่าจะได้เห็นตัวอย่างก็ตอนที่หนังออกไปแล้ว เลยตั้งมั่นว่ายังไงจะต้องซื้อแผ่นมาดูให้ได้ เพราะตอนที่ดูตัวอย่างจบก็รู้สึกว่าหนังน่าสนใจมากๆ

ในตัวอย่างเล่าแค่ว่านี่คือครอบครัวแปลกๆที่ดันไปเก็บเด็กผู้หญิงมาคนนึง แล้วทั้งครอบครัวก็รักเธอมากก่าครอบครัวที่แท้จริงของเด็กผู้หญิงคนนี้ เหมือนหนังจะตั้งคำถามกับเรื่องความรักของครอบครัว พ่อแม่ ว่าการเป็นผู้ให้กำเนิดจะยิ่งใหญ่กว่าคนที่ให้คสามรักและเอ็นดูเราได้มั้ย นี่คือทั้งหมดที่เทรลเลอร์พูดถึง

แต่พอได้มาดูจริงๆ เนื้อเรื่องที่เทรลเลอร์พูดถึงมันเป็นแค่ซับพล๊อตเล็กๆของทั้งเรื่องเท่านั้นเอง ต้องบอกว่าคนตัดตัวอย่างฉลาดในการเล่ามากๆที่เอาแค่ส่วนนึงมาเรียกน้ำย่อยคอดราม่า เพราะพอได้ดูจริงๆมันมีปมและประเด็นที่ตั้งคำถาม และเล่นกับความรู้สึกคนดูเยอะมากๆ นี่ขอยกให้เป็นหนังที่มีฉากและคำคมให้เราได้ขบคิดได้ดีแห่งปีเลย หนังโคเรเอดะยังไงก็ยังมีความโคเรเอดะจริงๆ

อีกอันนึงที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้คือจะมีฉากที่บอกความคิดของตัวละครผ่านการกระทำของเค้า โดยที่เราจะรู้ได้เองโดยที่ตัวละครไม่ต้องพูดอะไร แค่เค้าทำอะไรบางอย่างที่เค้าตั้งใจ เราก็เข้าใจเค้าได้ในทันที
อย่างฉากแรกๆที่ออกมาก็คือ ฉากที่โอซามุ(ตัวเอกชาย)ทำงานก่อสร้างอยู่ แล้วเขาเดินเข้ามาในห้องนึงที่ยังสร้างไม่เสร็จ เขากวาดตามองไปรอบๆห้อง พลางเริ่มชี้นิ้ว “เฮ้ โชตะ ไปทำอะไรในนั้น” “เฮ้ โนบุโยะ” แค่นี้เราก็เข้าใจได้แล้วว่าเขาสมมุติว่าห้องนี้เป็นบ้านที่เขาอยู่ ซึ่งมันกว้างกว่ามากๆ นั่นคือเขาฝันว่าอยากพาทุกคนได้อยู่ในที่ๆกว้างขึ้น มีความเป็นอยู่ดีกว่านี้
แล้วชอบที่ใช้เพียงแค่ช๊อตเดียว ไม่มีการตัดมุมแทนสายตาอะไรทั้งนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการเล่าแบบนี้มันเรียลมากขึ้นไปอีก

ใครชอบหนังดราม่าที่ว่าด้วยความรู้สึก ความสัมพันธ์ไม่ควรพลาดเลยค่ะ ตอนแรกจะให้คะแนนซัก8.7 แต่การที่หนังทิ้งคำถามและความตกตะกอนให้เราไว้ขบคิดเลยรู้สึกว่าควรให้9/10 ไปเลย

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดูThe Florida project(2017)

Florida project เป็นหนังที่ทำความธรรมชาติได้เก่งมากๆ หนังพาเราไปในมุมมองของเด็กๆในเรื่อง เรามีความสุขไปกับเด็กๆอย่างแท้จริง ไม่มีใครทะเลาะหรือโกรธเราจริงๆจังๆ เรามีเพื่อน มีโลกทั้งใบที่รอเราไปค้นหา ทุกอย่างมันดูเป็นโลกของเรา แต่มันก็กลายเป็นแค่โลกเสมือนจริง

เมื่อวันนึงที่แม่ไม่สามารถหาเลี้ยงด้วยการแอบตระเวณขายน้ำหอมตามโรงแรมได้อีกต่อไป ปัญหาหลายๆอย่างมันทับถม แต่เราที่เป็นเด็กก็ยังไม่โตพอที่จะเข้าใจได้ มันเริ่มแย่ลงตอนที่แม่ตัดสินใจขายตัวและขโมยของ แต่ทั้งหมดก็เพื่อที่เราจะได้อยู่กันได้ แม่ไม่เคยเครียดใส่เรา ไม่เคยตี ตอนฝนตกก็ยังออกมาเล่นน้ำฝนด้วยกัน เราอยู่กันอย่างมีความสุขมาก แต่ก็แน่นอนที่คนทั้งหอพักรู้ว่าเราเป็นเด็กที่ไม่ได้ไปร.ร. เมื่อปัญหามันหนักเข้า มันย่อมรอการคลี่คลาย..

ดูจบแล้วชอบมากนะ มีอะไรให้คิดตามเยอะมาก แล้วมันก็รีเลทกับความคิดที่ว่าวัยเด็กคือวัยที่เรามีอิสระที่สุดแล้ว เราสามารถคิดแต่เรื่องตัวเอง เป็นห่วงแค่ความรู้สึกเฉพาะของตัวเองได้ทั้งวี่ทั้งวัน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนัง ไม่ว่าจะจบแบบไหน มูนี่จะโตมาเป็นยังไง แต่วัยเด็กอันมีความสุขและเหตุการณ์ในวันนั้นมันจะอยู่ในใจมู่นี่และแม่ตลอดไป
ถ้าชีวิตยังไปต่อได้ วันนึงคงได้มีโอกาสนั่งนึกย้อนกลับมา และขอให้มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วแต่แค่หวนนึกถึงเท่านั้น

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดูGlass Castle (2017)

เมื่อวันก่อนได้ดูเรื่อง Glass Castle ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นหนังดราม่าครอบครัวซึ้งๆทั่วไปแหละ ตอนหนังเริ่มเห็นขึ้นว่าสร้างจากเรื่องจริงก็เริ่มสนใจว่าทำไมหนังดราม่าปกใสๆแบบนี้ต้องอิงเรื่องจริงด้วย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

ครอบครัวนี้เผินๆก็ดูเหมือนครอบครัวทั่วไป แต่จะแปลกนิดๆตรงที่พ่อกับแม่เป็นพวกรักอิสระทั้งคู่ รักมากขนาดที่ยอมย้ายบ้านไปเรื่อยๆ หาบ้านร้างที่พออาศัยได้แล้วก็ซ่อมมันเพื่อใช้เป็นที่อยู่ ลูกๆทุกคนก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะพ่อมีความเห็นว่าทำไมต้องเข้าร.ร.ด้วย
ในเมื่อเราสามารถเรียนรู้จากของจริงที่อยู่นอกห้องเรียนได้เลย พ่อค่อนข้างมีความรู้รอบตัวกับงานช่างที่ดีมาก เค้าสามารถสอนลูกตามที่ว่ามาได้จริงๆ ส่วนแม่ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นแม่บ้านและมีความฝันเป็นจิตกร ชอบเรื่องนี้ตรงคาร์ของพ่อ ที่เราจะทั้งรักทั้งเกลียดเค้าในเวลาเดียวกัน

ลูกๆทุกคนเชื่อมั่นในตัวพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ในช่วงวัยนึง เด็กๆก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าพ่อจะไม่มีวันดีขึ้นจากอาการติดเหล้าและแม่จะไม่มีวันทิ้งพ่อเพื่อพาพวกลูกๆหนีแน่ๆ ลูกๆทุกคนจึงพยายามช่วยกันส่งเสียกันเรียนเอง จนถึงวันที่ลูกยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองได้มีความคิดเป็นของตัวเอง ทุกคนก็หันหลังให้กับทั้งพ่อและแม่ แต่ก็อย่างที่ว่า เราที่เป็นแค่คนดูเรายังทั้งรักตัวละครพ่อและเกลียดตัวละครพ่อคนนี้มากๆเลย หลายๆอย่างที่เค้าสอนลูกมันดูเกินไปมากๆ แต่มันก็ทำให้เด็กๆได้ตระหนักสิ่งที่สำคัญที่เด็กในวัยเดียวกันอาจไม่เคยคิดถึง เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่นแต่ก็เจ็บใจ

ตัวเอกของเรื่องอีกคนก็คือBrie Larson คนที่เล่นเป็นกัปตันมาเวล เล่นดีมากอ่ะ เพิ่งรู้ประวัติว่าเค้าเคยถูกลวนลามจากโปรดิวเซอร์ที่มีชื่อเสียมากไม่มีใครกล้าหือ ตอนนั้นเค้ายังไม่ดังแล้วก็ไม่ค่อยมีงานเค้าเลยตัดสินใจออกมาแฉโปรดิวซ์คนนั้น ตอนแรกข่างก็เงียบ

จนมีAnne Hathawayออกมาบอกว่าเธอก็โดนด้วยเหมือนกัน หลังจากนั้นก็มีดาราหญิงดังๆอีกหลายคนกล้าออกมาบอกว่าเธอก็โดนด้วยแล้วค่อยๆแบนโปรดิวซ์คนนั้นออกไปได้ ไม่รู้ว่าเกี่ยวมั้ยแต่บทที่Brie Larsonเลือก มักจะเป็นบทผญ.ที่ต้องสู้และยืนหยัดด้วยตัวเองเสมอๆเหมือนกับเรื่องในครั้งนั้น

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดูGreen Book(2018)

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดฟหเก้หกฟเกด้กหฟเด้กหเ้้ด้กห่ด้กุขอกรี๊ดให้ Green Booooook ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ให้เป็นหนังBromanceที่ดีมากๆๆๆๆๆเลยโว๊ยยยยยย ใครชอบโบรๆไปจัดซะนะคะะะะะะะ /ใครชิปวายต้องโดนโทนี่ลิปบ้องหูแบบในหนัง!! มันต้องโบร!!!!!!

green

พอดู จบนี่แอบคิดเลยว่าเฮ้ย นี่มันBefore sunset Before Sunrise เวอร์ถ่อยนี่หว่าาาาา บทดีมากกก ไดอะล๊อกซ์ชนะเลิศ!!! อยากให้ออสการ์ อยากให้หมีทองคำ สาขาไดอะล๊อกซ์มากๆ มันดีๆๆๆๆๆๆๆ แล้วเคมีนิสัยทั้งคู่แม่งโคตรเข้ากัน ว้อยยยยยยยยยยยยยยยย /หัวโขกกำแพง! ฮืออออออออ รักความถ่อยที่ดีของโทนี่มากๆๆๆๆๆค่ะะะะะ ความผู้ดีกรีดกรายกินไก่ทอดไม่เป็นของดอนก็รักกกก รักพวกเขาาาา

แล้วฉากเจ็บปวดสายดราม่ามันก็หนักหน่วงมากค่ะะะะ ไม่อยากพูดมาก กลัวสปอล์ยเพราะหนังยังอยู่ในโรง แต่แบบ เหี้ย….ร้าวใจกุมากอ่ะ สัดเย้ยยยย /กุมอกตั้งกะในโรงยันเดินออกมาก็ยังร้าว /โคตรอิน

Dr. Don คือ Juan ใน Moonlight….. asdasghfjhasdhgkgfsdgfhsdfsdjghhhfgdshgfsdjfsafdsafdsfsdfsdฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ กุไม่ไหว…โฮรวววลลลลลลล ทำไมสองเรื่องนี้มันต้องมาโคจรกันนน ฮือออออออวววววววววมันดียยยยยย

จะนอนอยู่แล้ว ฉาก I’m not black enough,I’m not white enough ,Tell me! Who am I? ยังตามมาหลอกหลอน ใจกุหล่นร้าวไปแกนโลกมากฉากนี้…

ไม่ได้ดูเทรลเลอร์มาก่อนเลยเพิ่งเคยดูฉากนี้ในโรงครั้งแรกเลย เส้นเรื่องกับไดอะล็อกดีมากจนมุมกล้องไม่ต้องบิ้วก็รู้สึกตามได้

แต่พูดจริงนะ มันเป็นหนังที่ดูง่ายกว่าที่คิด ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องgreen bookเลยนึกว่าต้องเป็นหนังแบ่งชนชั้นผิวสีที่ซีเรียสมากแต่อันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น ต้องบอกว่าคนเขียนบทเก่งมากที่สอดแทรกอารมณ์ขันในคาแรกเตอร์ของพวกเขา และยังมีความตลกร้ายกับความซีเรียสอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวให้9/10เลย

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดู ซีรีย์Titans (2018 TV series)

ชอบโรบินดิ๊ก เกรย์สัน มากกว่าที่คิดแฮะ เรื่องนี้ความDCพุ่งดีอ่ะ ชอบที่เป็นฮีโร่ที่เดินเข้าไปต่อยคนอย่างจิตหลุด แล้วก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ดีพอ แต่ก็ไม่ได้สนว่าจะต้องดีเพื่อใคร #Titans

Robin : Dick Grayson

ชอบฉากนึง มันโคตรดีซีเลย คอรี่ยื่นเงินให้คนที่โดนดิ๊กซ้อม(ฟีลแบบค่าทำขวัญ)เหยื่อทำท่าลังเลแต่สุดท้ายก็รับเงินไว้แล้วก็ด่าคอรี่ฟัคยู เออ ตบเข่าฉาดขำมาก ชอบบบบ

ต้องดูแรกๆนี่ชอบน้องเรเชลมากเพราะคาร์มันดึงดูดแล้วน้องก็น่ารักอ่ะ เก็กอะไรน่าจิ้มแก้มมาก โคตรชอบพลังน้อง แม่งโคตรแกรนด์เลย รอลุ้นต่อว่ายังใช้พลังแบบไหนได้อีกมั่ง

เรื่องนี้จริงๆคาร์น่าสนใจทุกตัวเลยอ่ะ มีปมกันหมด แต่ใบปิดชอบให้มายืนรวมๆกันแล้วมันดูเหมือนเป็นหนังที่คาร์ไม่ดีพ แต่มันทำออกมาดี น่ารักอยู่นะะะะ

[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดู Aquaman (2018)

👏
👏
👏
👏

ขอพูดถึง แบบไม่สปอร์ยหน่อย เพิ่งไปดูในโรงไอแมกมา จนซีนเซ็ทอัพนี่หันไปชมกับแฟนเลยอ่ะว่าผกก.ภาพเก่งมากกกกกกกกก ขอปรบมือให้ผกก.ภาพเลยค่ะะะ งานเด่นโฮกๆๆๆๆๆๆ หลายฉากเป็นมุมต่อเนื่องที่ดีมากๆๆ โคตรครีเอต!!

JamesWanAquaman

คือมีสามทีมที่เรารุ้สึกว่างานเขาเด่นมากๆคือ กำกับภาพ ดีไซน์ และการลำดับเรื่อง คือถึงเราจะไม่ใช่แฟนหนังฮีโร่และแอคชั่นเลยแต่อันนี้ก็ถือว่าDCทำองค์รวมได้ดีกว่าเรื่องที่แล้วมามากๆ ที่แล้วๆมามันมักจะมีจุดดีเป็นฉากๆหรือเป็นจุดๆไป แต่อันนี้รวมๆแล้วมันดีอ่ะ สมกับที่ได้คะแนนมากกว่า7

✨
✨
😭
😭

จริงๆหนังเรื่องนี้ตั้งชื่อใหม่ว่า Fantastic Beasts of the ocean ก็ยังได้นะ เพราะมีสัตว์แฟนตาซีๆเทพนิยายออกมาเยอะมากกกกกกกกก แล้วทีมดีไซน์ทำออกมาสวยน่ารักมากอ่ะ ชอบบบบบ เห็นหลายตัวแล้วได้แต่ตะโกนในใจ น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง น้องเฝ้าตรีศูลนี่ร้องเป็นก๊อตจิเลยอ่ะน่ารักกกกก

มีฉากนึงนี่ประทับใจมาก คือฉากที่ลงไปในร่องคาบสมุทรแล้วมันจะมีสัตว์อสูตรอยู่ที่นั่น ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นฟีลแบบสัตว์ตัวใหญ่ในรอยแยกของร่องเหวลึก แต่พอเห็นจริงๆแล้ววแบบโอ๊ยยยยยยยยโคตรน่ากลัว มันไม่ใช่อย่างที่คิด เค้าเลือกภาพขนาดกว้างมาเป็นตัวเปิดด้วยความมืด เป็นพระเอกนางเอกที่ถือไฟฉุกเฉินใต้น้ำสีแดงพุ่งลงฝ่าอสูรนับล้านตัว เราจะไม่เห็นหน้านางเอกพระเอกแต่เรารับรู้ได้จากขนาดภาพและสีเลยว่ามันวิกฤษแค่ไหน แสงสว่างเดียวคือไฟสีแดงในมือที่จะดับลงเมื่อไหร่ก็ได้ และสิ่งที่จะช่วยให้เรารอดคือเรี่ยวแรงจากตัวเองเท่านั้น รายล้อมด้วยความมืดและอสูรที่พร้อมจู่โจมนับล้าน (ต้องบอกว่านับล้านจริง copyวางกันเหนื่อยแน่อ่ะ)

เออ อีกอันที่ประทับใจ….นิโคล คิดแมนค่ะ คือไม่รู้จริงๆนะว่าเค้าแสดงด้วย แล้วแบบโอ๊ยยยยยยเด่นมากกกกกก ฉากบู๊ก็โคตรพลัง นางเอกว่าสวยมากแล้วนะ พอมายืนกับแม่พระเอกแล้วดูปกติไปเลย นิโคลสวยมากกกกกกกกกกกก

ในด้านเนื้อเรื่องเราไม่ได้คาดหวังเรื่องความแปลกใหม่อะไรอยู่แล้วเพราะเรื่องพื้นฐานมันมีอยู่ แต่ก็ยังน่าชมอยู่ดีนะเพราะคนตัดเลือกเล่าแบบตัดสลับเลยได้เล่าตั้งแต่เด็กยันโต คนดูก็จะได้รู้ข้อมูลเยอะอยู่ไม่ค่อยเล่าข้ามเท่าไหร่ ซึ่งดีอ่ะเพราะเราแฟนหนังดราม่าถ้าเล่ารวบรัดมันจะไม่ได้อารมณ์

😂
😂

เออ ยอมใจอีชุดทองๆเขียวๆเลยอ่ะตอนเห็นในโปสเตอร์ยังคิดอยู่ว่าเฮ้ยยย นี่ดีไซน์เดิมเลยใช่มั้ย จะเอาไปทางคลาสสิคเลยเหรอ ไม่รีดีไซน์เหรอ เอาจริงดิ! แต่พอไปอยู่ในหนัง…..โอ๊ยเท่!!!!ทองเขียวทำไมมันดียังงี้วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้บ้าาาาทำกูรู้สึกมันเท่จนได้เว้ยยยยยอม!!55555555