[RE-VIEW]ความรู้สึกหลังดู Coco (2017)

tenor

เพิ่งได้ดู งือออออ มาม่าโคโค่ค่ดน่ารักกกก ออกไม่กี่ซีนแต่แย่งซีนทุกคนมากๆๆๆๆๆค่ะ ชอบธีมของหนังนะ ถึงจะไม่สอดคล้องกับความเชื่อในใจแต่ก็ชอบในรูปแบบที่เค้านำเสนอ

ถึงบทมันจะเดาง่ายเพราะวัฒนธรรมกับธีมที่เลือก แต่ตรงที่เค้าตั้งใจจะทำให้มันถึง คนดูก็รับรู้ได้จริงๆ //นี่ปาดน้ำตาไปสองรอบได้

อีกจุดที่ชอบคือ ตลค ญ ทุกตัวมีจุดยืนและมีพลังที่จะพาทุกคนเดินหน้าไปมากๆ งานภาพนี่เปิดมาซีนแรกก็การันตีทุกอย่างแล้วค่ะ ไม่มีอะไรให้พูดถึง55555 ชอบพวกสัตว์ที่นำวิญญาณด้วย สีสันมันแบบเรืองแสงน่ารักกกกก แอบอยากรู้รายละเอียดความสามารถมากกว่านี้เลย

จริงๆจุดที่ไม่ชอบหรือไม่อินมันก็มีนะ แต่ฉากที่เราชอบหรือที่เค้าทำออกมาดีมันกลบความไม่อินได้อยู่ บางทีก็แอบคิดว่าเออ มันคงเป็นมุกแนวแม๊กซิโกล่ะมั้ง

แต่ชอบเรื่องการให้ความสำคัญกับการที่มีใครซักคนนึกถึงเรามากๆเลย เราจะเป็นคนยังไง ลักษณะแบบไหนต่อให้เรารู้ของเราอยู่แล้ว แต่คนที่จะจดจำเราก็คือคนอื่นๆที่เราเจอ ครอบครัวของเรา คนรัก เพื่อน คิดในแง่ซึ้งมันก็ซึ้งจริงๆนะ แต่เราดันมารู้สึกในทางเศร้าๆมากกว่า

[Re-view]ความรู้สึกหลังดู Hereditary

**ไม่สปอยล์นะ**

hereditary

คือตอนออกจากโรงมันรู้สึกหลากหลายมาก อย่างแรกคือมาดูเรื่องนี้เพราะเคยไปดูThe VVitch: A New-England Folktaleมาแล้ว แล้วชอบอารมณ์กับจังหวะของเค้ามากๆๆๆๆ กิมมิคมีให้ดูเยอะ และซาวด์ก็เด่นมาก ดังนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันจะไม่ใช่หนังผีแบบที่คนเข้าใจเท่าไหร่

แต่ด้วยความที่เหลือแต่ทีมโปรดิวเซอร์เดิม ตอนแรกก็คิดอยู่ว่ามันจะต่างออกไปเลยมั้ยนะ ปรากฏว่าไม่ค่าาาาา เริ่มมาฉากแรกก็บอกลายเซ็นด้วยซาวด์เสียดโสตประสาททันที เหมือนเป็นการทักทายแฟนหนังจากเรื่องที่แล้ว เพราะหลังจากช่วงแรกไปจะใช้ซาวด์ที่ไม่โดดมาก เพราะเรื่องนี้เซ็ทเป็นยุคปัจจุบัน

ถือว่าเรื่องนี้ให้สิ่งที่เราต้องการได้ครบเลย คือ กิมมิคของฉาก จังหวะตัด และจังหวะของจุดที่ต้องให้พีค และแน่นอนว่าเป็นหนังหลอนๆเล่นเรื่องจิตวิทยากับคนดู มีฉากโหดและยังมีความดราม่าที่หนักหน่วง นี่คือสิ่งที่หวังก่อนเข้าไปดู และหนังก็ให้เราจนครบ ไม่รู้ว่าในไทยจะเป็นไงแต่เราให้8.5/10

lead_720_405

มาว่าถึงเรื่องความน่ากลัว ตั้งแต่เรื่องที่แล้ว มันมีความกลัวที่เกิดขึ้นตอนดูคือ “กลัวธรรมชาติของมนุษย์” และเรื่องhereditary นี่ก็ยังเอาจุดนั้นมาใช้ เราว่าเรื่องนี้มันรู้สึกเยอะยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเอาประเด็นครอบครัวมาเล่นแล้วก็ยังเป็นยุคปัจจุบัน

คิดว่าคอหนังผีถ้าไปดูก็น่าจะมีจุดตกใจกลัวไม่น้อย(เยอะเลยล่ะ)เพราะเค้าใช้จังหวะกับขนาดภาพดีมาก จนทำให้คนดูรู้สึกกลัว ไม่ใช่ตกใจ มันเป็นความกลัวที่ซิมเปิ้ลแต่ดี เล่นกับความมืดและจินตนาการของคนได้ดี บางทีแค่เสียงเล็กๆไม่ต้องดังคนดูก็ร้องเหี้ยกันทั้งโรง (อันนี้เรืองจริง55555)

พอถึงช่วงที่เรารู้ได้และว่าจะเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง แสงสว่างเดียวของเรื่องดับวูบ คือสงสารตลค. จนยกมือขึ้นมากุมหัวสองรอบเลย แบบมึงจะเอาแบบนั้นจริงๆเหรอเนี่ย คนเขียนบทททท คือหนังไปจนสุดทางของมันเลยนะ ตลค.โดนบีบแล้วบีบอีกๆ จนเรารู้สึกน้ำตาคลอว่าขอกูตายก่อนเลยดีกว่าถ้าต้องเจอแบบนี้

พอดูหนังhereditaryจบก็เข้าสู่ช่วง(อดีต)นักเรียนหนังสองคนมาถกกันนะฮะ คุยกันถึงว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้นึกถึงระบบสังคมปัจจุบัน ความเชื่อ ศาสนาที่หล่อหลอมพวกเรามาจนทำให้เรื่องผิดปกติกลายเป็นปกติ เทียบกับอิลลูมินาตี้ที่กุมทุกอย่างไว้แล้วเอาธรรมชาติอย่าง “ความกลัว” มาเล่นสนุกกับเรา

mini-review] Moonlight

moonlight_banner2

เป็นหนังฉลองValentineที่เลิศมากกกกกกก!! ถึงจะอยากให้ฉากจบยืดเวลาโมเม้นนั้นออกไปอีกซัก30วิก็เถอะ แต่โดยรวมแล้วชอบมาก นี่คือเป็นพ่อค้ายาที่มุ้งมิ้งน่ารักที่สุดที่เคยเจอเลย ชอบนักแสดงตอนช่วงBlackมาก ต่อให้ภายนอกเป็นยังไงแต่เราจะเห็นความเป็นไชรอนข้างในเสมอ
ให้9/10 เลย

moonlight_2016

อีฉากเปิดเพลงนี่ฆ่ากันให้ตายไปเลยเหอะ เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว555555555555