**ไม่สปอยล์นะ**
คือตอนออกจากโรงมันรู้สึกหลากหลายมาก อย่างแรกคือมาดูเรื่องนี้เพราะเคยไปดูThe VVitch: A New-England Folktaleมาแล้ว แล้วชอบอารมณ์กับจังหวะของเค้ามากๆๆๆๆ กิมมิคมีให้ดูเยอะ และซาวด์ก็เด่นมาก ดังนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันจะไม่ใช่หนังผีแบบที่คนเข้าใจเท่าไหร่
แต่ด้วยความที่เหลือแต่ทีมโปรดิวเซอร์เดิม ตอนแรกก็คิดอยู่ว่ามันจะต่างออกไปเลยมั้ยนะ ปรากฏว่าไม่ค่าาาาา เริ่มมาฉากแรกก็บอกลายเซ็นด้วยซาวด์เสียดโสตประสาททันที เหมือนเป็นการทักทายแฟนหนังจากเรื่องที่แล้ว เพราะหลังจากช่วงแรกไปจะใช้ซาวด์ที่ไม่โดดมาก เพราะเรื่องนี้เซ็ทเป็นยุคปัจจุบัน
ถือว่าเรื่องนี้ให้สิ่งที่เราต้องการได้ครบเลย คือ กิมมิคของฉาก จังหวะตัด และจังหวะของจุดที่ต้องให้พีค และแน่นอนว่าเป็นหนังหลอนๆเล่นเรื่องจิตวิทยากับคนดู มีฉากโหดและยังมีความดราม่าที่หนักหน่วง นี่คือสิ่งที่หวังก่อนเข้าไปดู และหนังก็ให้เราจนครบ ไม่รู้ว่าในไทยจะเป็นไงแต่เราให้8.5/10
มาว่าถึงเรื่องความน่ากลัว ตั้งแต่เรื่องที่แล้ว มันมีความกลัวที่เกิดขึ้นตอนดูคือ “กลัวธรรมชาติของมนุษย์” และเรื่องhereditary นี่ก็ยังเอาจุดนั้นมาใช้ เราว่าเรื่องนี้มันรู้สึกเยอะยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเอาประเด็นครอบครัวมาเล่นแล้วก็ยังเป็นยุคปัจจุบัน
คิดว่าคอหนังผีถ้าไปดูก็น่าจะมีจุดตกใจกลัวไม่น้อย(เยอะเลยล่ะ)เพราะเค้าใช้จังหวะกับขนาดภาพดีมาก จนทำให้คนดูรู้สึกกลัว ไม่ใช่ตกใจ มันเป็นความกลัวที่ซิมเปิ้ลแต่ดี เล่นกับความมืดและจินตนาการของคนได้ดี บางทีแค่เสียงเล็กๆไม่ต้องดังคนดูก็ร้องเหี้ยกันทั้งโรง (อันนี้เรืองจริง55555)
พอถึงช่วงที่เรารู้ได้และว่าจะเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง แสงสว่างเดียวของเรื่องดับวูบ คือสงสารตลค. จนยกมือขึ้นมากุมหัวสองรอบเลย แบบมึงจะเอาแบบนั้นจริงๆเหรอเนี่ย คนเขียนบทททท คือหนังไปจนสุดทางของมันเลยนะ ตลค.โดนบีบแล้วบีบอีกๆ จนเรารู้สึกน้ำตาคลอว่าขอกูตายก่อนเลยดีกว่าถ้าต้องเจอแบบนี้
พอดูหนังhereditaryจบก็เข้าสู่ช่วง(อดีต)นักเรียนหนังสองคนมาถกกันนะฮะ คุยกันถึงว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้นึกถึงระบบสังคมปัจจุบัน ความเชื่อ ศาสนาที่หล่อหลอมพวกเรามาจนทำให้เรื่องผิดปกติกลายเป็นปกติ เทียบกับอิลลูมินาตี้ที่กุมทุกอย่างไว้แล้วเอาธรรมชาติอย่าง “ความกลัว” มาเล่นสนุกกับเรา